สามารถพยัคฆ์อรุณเพชฌฆาตหน้าหยกแห่งวงการมวย
ในวงการมวยของบ้านเรานั้นมีนักมวยที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศหลายต่อหลายคน และถ้าหากพูดถึงชื่อสามารถพยัคฆ์อรุณแล้วล่ะก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะในยุคสมัยหนึ่งนักมวยรูปหล่อท่านนี้เคยรับฉายา "เพชฌฆาตหน้าหยกมาแล้ว" แม้จะเป็นมวยที่ไม่ได้มีน้ำหนักมากที่รุนแรง แต่ก็มีเชิงมวยที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวและสายตาที่เฉียบคมอีกด้วย ในบทความนี้เราจะไปทำความรู้จักกับประวัติของนักมวยที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย เป็นนักมวยที่สามารถคว้าแชมเปี้ยนโลกมาครองได้สำเร็จ
ประวัติโดยสังเขปของ สามารถ พยัคฆ์อรุณ นักชกขวัญใจชาวไทย
สามารถ พยัคฆ์อรุณ หรือชื่อจริงว่า สามารถ ทิพย์ท่าไม้ ได้ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2505 สามารถ เป็นคนจังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอบางปะกง ตำบลคลองเขต เป็นบุตรของนายสมนึก และ นางเมค ทิพย์ท่าไม้ โดยมีพี่ชายอีก 1 คน ซึ่งพี่ชายของสามารถได้ใช้ชื่อว่า "ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ" ซึ่งในอดีตพี่ชายของสามารถเคยเป็นนักมวยไทยชื่อดัง และยังเคยได้ชกมวยสากลอีกด้วย เคยได้รับโอกาสในการชิงแชมป์เปี้ยนโลกมวยสากล 2 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยครั้งที่ 2 นั้นเป็นการชิงแชมป์กับนักชกชาวไทยคือ เขาทราย แกแล็คซี่ สามารถเริ่มฝึกมวยไทยมาตั้งแต่อายุประมาณ 11 ขวบ โดยในตอนนั้นใช้ชื่อว่า "สามารถ ลูกคลองเขต" และได้เริ่มต้นต่อยมวยไทยแบบจริงจังมากขึ้น
ก่อนจะมาเป็นแชมป์โลก สามารถเคยเป็นแชมป์มวยไทยฝีมือดี
ในเส้นทางการชกมวยไทยของสามารถนั้นเริ่มขึ้นในแมตช์แรกที่จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2517 ได้ขึ้นชกกับ เพชรอรุณ ศิษย์นิมิตร และสามารถเอาชนะคะแนนไปได้สำเร็จ และต่อมาหลังจากนั้นได้ตระเวนชกมวยตามเวทีต่างๆ ทางภาคตะวันออกไปอีกร้อยกว่าครั้ง และหลังจากนั้นได้เดินทางเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯในปี พ.ศ. 2522 ที่เวทีมวยลุมพินี ซึ่งตอนนั้นอยู่ในการดูแลของโปรโมเตอร์มวยชื่อดังอย่าง ทรงชัย รัตนสุบรรณ ด้วยนะขนาดนั้นสามารถพยัคฆ์อรุณถือเป็นนักมวยที่มีเทคนิคในการชกที่แพรวพราวหูตาว่องไว สเต็ปการชกดีเยี่ยม ชกสนุก แฟนมวยส่วนใหญ่จึงชอบ และในการชกมวยไทยในเส้นทางของเวทีมวยลุมพินี สามารถ พยัคฆ์อรุณสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่
1.รุ่นพินเวท 105 ปอนด์ โดยเอาชนะคะแนน ก้องสมุทร ชูวัฒนะ ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2523
2.รุ่นจูเนียร์ฟลายเวท 108 ปอนด์ โดยเอาชนะคะแนน พูนลาภ ศักดิ์นิรันดร์ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ผ.ศ. 2523
3.รุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวท 115 ปอนด์ โดยเอาชนะคะแนน สิงห์ทอง ประสพชัย ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2524
4.รุ่นเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์ โดยเอาชนะคะแนน สมิงหนุ่ม สิทธิบุญธรรม ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2524
สามารถ พยัคฆ์อรุณ เข้าสู่วงการมวยสากลอาชีพแบบเต็มตัว
การเข้าสู่วงการมวยสากลอาชีพของสามารถนั้นได้รับแรงผลักดันจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นโปรโมเตอร์มวยชื่อดังอย่าง ทรงชัย รัตนสุบรรณ , สหสมภพ ศรีสมวงศ์ และสุชาติ เกิดเมฆ โดยในการชกมวยสากลครั้งแรกของสามารถนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2526 โดยสามารถเอาชนะคะแนน เนตรน้อย ศ.วรสิงห์ ไปได้ และหลังจากนั้นสามารถยังเอาชนะน็อกได้อีก 9 ครั้งด้วยกัน ต่อมาสามารถได้ขึ้นชกชิงแชมป์โลก WBC เป็นครั้งแรกในรุ่นซุปเปอร์แบนตั้มเวท 122 ปอนด์ โดยเผชิญหน้ากับนักชกชาวเม็กซิโก กัวดาลูเป ปินตอร์ โดยผลที่ออกมานั้นสามารถเอาชนะน็อคไปได้ในยกที่ 5 ของการแข่งขัน ก้าวขึ้นเป็นแชมป์เปี้ยนโลกคนที่ 10 ของประเทศไทย ซึ่งในตอนนั้นประเทศไทยมีแชมป์โลกมากถึง 3 คนพร้อมกันนั่นคือ เขาทราย แกแล็คซี่ , ���ามารถ พยัคฆ์อรุณ และ สด จิตรลดา ถือว่าเป็นจุดพีคของวงการมวยสากลอาชีพของประเทศเป็นอย่างมาก
ชกป้องกันตำแหน่ง โชว์ทักษะสายตาให้ชาวโลกเห็นจนได้แชมป์โลกในยกที่ 12
หลังจากที่เป็นแชมป์โลก สามารถ พยัคฆ์อรุณ ได้ไปชกนอกรอบที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2529 เอาชนะคะแนน ราฟาเอล กันดาริลญา ไปได้สำเร็จ แล้วต่อมาถึงการป้องกันแชมป์ครั้งสำคัญกับ ฆวน คิด เมซา นักชกชาวเม็กซิกัน และในการชกครั้งนี้นั้นสามารถพยัคฆ์อรุณได้โชว์ทักษะสายตาให้ชาวโลกต้องตะลึง ด้วยการพิงเชือกและโยกหลบหมัดของ ฆวน คิด เมซา ประมาณ 20 หมัด และสวนหมัดเคาน์เตอร์ไปที่ปลายคางของคู่ต่อสู้ เอาชนะทีเคโอไปได้นายกที่ 12 อย่างสวยงาม ซึ่งในการชกรายการนี้นั้นเป็นรายการเดียวกับนักมวยชาวไทย สด จิตรลดา ที่ขึ้นชกป้องกันตำแหน่งแชมป์ WBC กับ กาบริเอล เบร์นัล ในรุ่นฟลายเวทอีกด้วย ต้องบอกว่าฉายา "เพชฌฆาตหน้าหยก" นั้นไม่ได้มาแบบฟลุ๊คๆ
สามารถ พยัคฆ์อรุณ ถือเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จทั้งมวยไทยและมวยสากล เรียกได้ว่าเป็นนักมวยที่เก่งกาจคนหนึ่งในยุคนั้น แต่เมื่อได้แชมป์แล้วนั้นสามารถขาดวินัยในการฝึกซ้อมและกลายเป็นนักชกเจ้าสำราญ และในการป้องกันแชมป์กับ เจฟฟ์ เฟเนค นักมวยชาวออสเตรเลีย สามารถแพ้อย่างราบคาบ จนมีข่าวโด่งดังในตอนนั้นว่าสามารถล้มมวย จนถึงกับต้องออกมาสาบานต่อหน้าวัดพระแก้ว และหลังจากนั้นสามารถก็เลิกชกมวยสากล แต่ก็ยังมีกลับมาต่อยมวยไทยไทยบ้าง
